เทศน์พระ

หยิบฉวย

๒๗ ม.ค. ๒๕๖o

 

หยิบฉวย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราฟังธรรมะเราจะร่วมลงอุโบสถ เราร่วมลงอุโบสถเพราะภาชนะสิ่งใดที่จะรองรับสิ่งที่มีคุณค่ามันต้องมีความสะอาดบริสุทธิ์ ถ้ามีความสะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นจากภาชนะที่สะอาดบริสุทธิ์ สิ่งนั้นมันจะมีคุณค่า ฉะนั้นเวลาลงอุโบสถๆ เห็นไหม อุโบสถสามัคคี ความเป็นสามัคคีธรรม สามัคคีธรรมเพื่อความเป็นอยู่ เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ไง เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์สิ่งนั้นพอเราได้สิ่งนั้นมาแล้วมันจะเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นที่ถูกต้องและดีงาม

ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิไง มิจฉาทิฏฐิคือความเห็นของเรา เราเห็นของเรา เราเห็นสิ่งใดๆ แล้วเราเห็นตามปัญญาของเรา เราก็ว่าสิ่งนั้นถูกต้อง ถ้าสิ่งนั้นถูกต้องๆ สิ่งนั้นถูกต้องด้วยเจือไปด้วยความเห็นของเราคือกิเลสของเรา ถ้ากิเลสของเรามันมีความเห็นพอใจสิ่งใด มันก็อาศัยสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ความพอใจของเรา เห็นไหม ลงอุโบสถสามัคคี นี่เป็นความสามัคคีธรรมๆ สามัคคีธรรมในไหน สามัคคีธรรม นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

ถ้าสามัคคีธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนั้นเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ ความสะอาดบริสุทธิ์นั้นจะพยายามจะรักษาหัวใจของเรา หัวใจของเรานี่มันจะไปตามแต่กิเลส กิเลสมันพอใจสิ่งใดทำสิ่งใดเราก็พอใจสิ่งนั้น ถ้าพอใจสิ่งนั้น เห็นไหม ความเป็นอยู่เรามันจะเศร้าหมองไปเรื่อยๆ ถ้าความเศร้าหมองไปเรื่อยๆ ความสะอาดบริสุทธิ์มันจะมาจากไหน ความเศร้าหมองๆ สิ่งที่ได้มามันก็ได้มาด้วยความเศร้าหมอง สิ่งที่ได้มาด้วยความเศร้าหมอง เห็นไหม ชีวิตมันจะเศร้าหมอง

ถ้าชีวิตมันจะสะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม ถ้าความสะอาดบริสุทธิ์เราต้องขวนขวาย ปลาเป็น ปลาเป็นต้องว่ายทวนน้ำ การว่ายทวนน้ำมันต้องออกแรงทั้งนั้น นี่ก็เหมือนกันชีวิตของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา เราต้องออกแรงของเรา ความออกแรงอันนั้นมันฝืน มันฝืนกิเลสไง ถ้าเราไม่ฝืนกิเลส กิเลสมันจะชักมันจะโน้มนำเราไป ถ้าโน้มนำเราไป เห็นไหม วันนี้มาลงอุโบสถ คำว่าลงอุโบสถ เห็นไหม ถึง ๑๕ ค่ำเราจะลงอุโบสถกันหนหนึ่ง ลงอุโบสถหนหนึ่งด้วยการเข้าหมู่ เข้าหมู่เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ ความสะอาดบิสุทธิ์ของเรา

เวลาคนเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ตั้งใจจะออกบวช เห็นไหม เวลามาบวชขึ้นมานี่ บวชมาเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระขึ้นมา เวลาคนที่ปรกติเขาจะต้องมีศีลมีธรรม แต่ศีลธรรมยกเว้นต่อเมื่อพระป่วยหรือพระที่วิกลจริต ถ้าพระวิกลจริต เวลาปฏิบัติไปแล้ววิกลจริตนะ นั่นนะเขายกไว้ก่อน แต่ถ้ากลับมาเป็นปรกติแล้วนี่มันก็ต้องถือธรรมวินัย ต้องตามธรรมวินัยนั้น เพราะฉะนั้นมันจะเข้าหมู่ไม่ได้ เห็นไหม การเข้าหมู่ๆ นี่

การเข้าหมู่ได้ด้วยความเสมอกันๆ ด้วยความเห็นในสัปปายะ ๔ ด้วยความเห็นเสมอกัน ถ้าความเห็นเสมอกันมันไม่รังเกียจต่อกัน ถ้ามันไม่รังเกียจต่อกัน อยู่ด้วยกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขไง แต่ถ้ามีความรังเกียจต่อกันมันก็จะแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถ้ามันแบ่งฝักแบ่งฝ่ายไปแล้วนี่มันจะเป็นก๊กเป็นเหล่า พอเป็นก๊กเป็นเหล่าต่อกันมากขึ้นไปก็เป็นนิกาย นิกายก็เป็นหมู่เป็นเหล่ากันไปไง แต่ถ้าธรรมวินัยแล้ว คำว่านิกายๆ นี่มันแค่ชื่อๆ เพราะคือความเห็นผิดของคนมันก็ชักนำให้ความเห็นผิดไปอย่างนั้นไง แต่ถ้าความเห็นที่ถูกต้องดีงามไง ถ้าเห็นความถูกต้องดีงาม ถูกต้องดีงามที่ไหน ถูกต้องดีงามก็ธรรมวินัยไง

นี่ละศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ นี่ศีล ๒๒๗ อุโบสถศีล เรามาทบทวนศีลของพวกเราไง ถ้าศีลของเราสะอาดบริสุทธิ์ นี่ถ้าเป็นทางโลกๆ เห็นไหม ทางโลกสิ่งที่ว่าในทางสาธารณสุข เขามีการคำนวณทั้งนั้น คนเราเป็นจิตไม่ปรกติเท่าไหร่ จิตมีความผิดพลาดเท่าไหร่ เห็นไหม เหมือนกันสิ่งที่เวลาพระประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้วถ้ามันเสียหาย เห็นไหม สิ่งนี้ภิกษุไข้ ยกเว้นในวินัย เห็นไหม ภิกษุที่เสียสติไป

แต่ถ้าเวลาจะบวชขึ้นมา เวลาคนจะบวชขึ้นมาต้องสมบูรณ์ ความสมบูรณ์ขึ้นมา แต่ทางโลกเขา เขามีโรคของเขา โรคหยิบฉวย คนจะร่ำรวยขนาดไหน แม้แต่เป็นดาราที่มีชื่อเสียง เวลาเขาไปเห็นของในห้างเขายังหยิบฉวย หยิบฉวยเอามันเป็นโรคความอยากได้ ความอยากมันควบคุมตัวเองไม่ได้ ความหยิบฉวยนั่นนะหยิบฉวยของเขา หยิบฉวยของเขาด้วยความอยาก คิดว่ามันต้านทานไม่ได้ไง แต่ถ้ามันทางสาธารณสุขของเขา เวลาเขาจะรักษาเขาจะรักษาของเขา เขาต้องทำให้เขาเป็นปรกติ ปรกติก็ต้องเคารพธรรมวินัยไง ปรกติก็ต้องเคารพกฎหมาย

นี่มันเป็นสิทธิ์ๆ ของมีเจ้าของ เราจะไปหยิบฉวยของเขาได้ยังไง ถ้าหยิบของเขาไม่ได้ ถ้ามาเป็นปรกติๆ ก็มีกฎหมายบังคับ มีสิทธิตามกฎหมาย เราไปเห็นกล่องของเขา เราจะหยิบฉวยเอาด้วยความเร้าของโรคภัยไข้เจ็บ เป็นโรคชนิดหนึ่งนะ โรคชนิดหนึ่งคือความไม่ปรกติของจิต ถ้าความไม่ปรกติของจิต เห็นไหม โรคหยิบฉวย ถ้าหยิบฉวยเพราะมันหยิบฉวยไปด้วยมันจะว่าคนที่มั่งมีศรีสุข เขาจะร่ำรวยขนาดไหนมันมีของมันโดย ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ในทางสาธารณสุขเขากำหนดว่าโรคนี้ในมนุษย์มีอยู่ ๗๕ เปอร์เซ็นต์ เป็นโรคจิตอยากหยิบฉวย อยากจะเอาของคนอื่นไง อยากจะเอาของคนอื่นมันต้องมีศีลธรรมมาเป็นที่บังคับไง

แต่ถ้ามันมีศีลมีธรรม เห็นไหม มันเป็นของของเขา มันไม่ใช่ของของเรา ถ้าเป็นของของเรา เห็นไหม เขายังวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรค เป็นโรคทางจิตๆ โรคหยิบฉวย หยิบฉวยเอาของคนอื่น หยิบฉวยเอาของที่อยากได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีเงินมีทอง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีกำลังซื้อมีทุกอย่างพร้อมแต่ทำไมไปหยิบฉวยเอาของที่ไร้ค่าอย่างนั้น แต่มันเป็นเพราะบกพร่องทางจิต คนที่บกพร่องทางจิตมันถึงจะหยิบฉวยอย่างนั้น นี่มันเป็นโรคชนิดหนึ่ง เห็นไหม โรคชนิดหนึ่งเขาก็ต้องรักษาให้เขามาเป็นปรกติ ถ้ากลับมาเป็นปรกติต้องมาเคารพสิทธิ์ของคนอื่น เคารพสิทธิ์ของเรา เคารพสิทธิ์ของทุกๆ คน ถ้ามันกลับมาเป็นปรกตินะ นี้ในทางโลกเขายังวินิจฉัยได้

นี่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าพระพุทธศาสนาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตระหนี่ถี่เหนียว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม ธรรมะๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีกำมือในเรา ท่านให้หมดเลยๆ แต่เราเอาไว้ไม่ได้

เราศึกษา เห็นไหม ดูสิ ที่เขาศึกษาปริยัติๆ กัน เขาว่าเขามีความรู้ๆ นะ นั่นนะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้นนะ แต่ว่าไปหยิบฉวยมาก็ใช่ พอหยิบฉวยขึ้นมาแล้วขยายความ พอขยายความว่าใครมีปัญญามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีปัญญามากน้อยแค่ไหน นี่เป็นของของตนหรือไม่ ถ้ามันไม่เป็นของตนมันเป็นของใคร มันเป็นของประจำโลกนี้ไง มันเป็นของประจำโลกนี้ มันเป็นทางวิชาการ มันเป็นการศึกษา การศึกษาค้นคว้าทางทฤษฎี ใครก็ศึกษาใครก็ค้นคว้าได้ๆ ค้นคว้าขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ดูสิ ในทางวิชาการ เวลาเขาศึกษากันแล้วเขาต้องทบทวนของเขาๆ ทบทวนของเขา ทบทวนของเขา นี่ทบทวนขึ้นมาเพื่อให้ความรู้นี่มันชัดเจนไง

แต่เวลาภาคปฏิบัติของเรา เห็นไหม วางให้หมดๆ ต้องทำความสะอาด เรามาลงอุโบสถกัน เห็นไหม ด้วยภาชนะนี้ต้องสะอาด ภาชนะสะอาดขึ้นมาเราจะเข้าหมู่ได้ พอเข้าหมู่ได้แล้วนี่ความเป็นไปของเรามันมีความอบอุ่นนะ ดูสิ อุโบสถสามัคคี สามัคคีธรรม เวลาที่ถ้ามันไม่สะอาดบริสุทธิ์มันเป็นโมฆะ เป็นโมฆียะ มันเป็นไปหมดเลย แล้วเวรกรรมมันเกิดที่ไหน

เวลาเวรกรรมๆ ขึ้นมานะ เราไม่รู้ว่าเวรกรรมมันเกิดมาจากอะไร ก็เวรกรรมเกิดมาจากความดื้อแพ่งของเรานี่แหละ เกิดจากความเห็นผิดของเรานี่แหละ เพราะเราเห็นผิด ถ้าเราเห็นผิดเราทำสิ่งใดไปมันผลทั้งนั้นนะ มันมีผลขึ้นไป เห็นไหม ดูสิ เวลาผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจนะไปอยู่ในป่าในเขา เวลาหลวงปู่ชอบนี่อยู่ที่เพชรบูรณ์ ท่านบอกท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ท่านก็สวดมนต์ธรรมดาของท่าน ท่านทำวัตรสวดมนต์ เวลาท่านจะจากที่นั้นไป เทวดาเข้ามาในนิมิตเลย ขอร้องๆ ให้ท่านอยู่นะ เพราะอะไร เวลาท่านอยู่นี่ร่มเย็นเป็นสุขไปหมดเลย เทวดาคุ้มครองไปทั่ว เทวดานี่ เห็นไหม ในสามโลกธาตุ นี่ผลของวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เขาได้ความร่มเย็นเป็นสุข เขาได้ความอบอุ่นของเขา ทำไมเขาจะไม่สงวนรักษาของเขา ของดีใครก็อยากได้ทั้งนั้น

ฉะนั้นเวลาท่านมีคุณธรรมของท่าน เห็นไหม เวลาท่านจะย้ายที่ เทวดามาขอร้องให้อยู่ที่นี่ บอกว่าจะอยู่ทำไมน่ะ โอ้โฮ เขาบอก เวลาท่านทำวัตรสวดมนต์ อู้ฮู้ มันกังวานไปทั่ว มันมีความร่มเย็นเป็นสุข มันอบอุ่นไปหมดเลย แล้วท่านจะย้ายไปมันว้าเหว่ พอจะย้ายจากที่ไปนะ มันเศร้าหมอง มันเฉาไปหมดเลย ขอให้ท่านอย่าไปได้ไหมๆ นี่พูดถึงว่าท่านองค์เดียวนะ แล้วถ้ามันมีหลายๆ องค์ขึ้นมาล่ะ

ฉะนั้นเวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหมนี่ท่านปกป้องคุ้มครองดูแล ถ้าปกป้องคุ้มครองดูแลของท่านนะเป็นบุญกุศลของเขา เขาอยากได้ความร่มเย็นเป็นสุขของเขา เขาได้ความอบอุ่นของเขา แล้วถ้าพระครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ลงอุโบสถสามัคคีๆ สามัคคีธรรมๆ เพื่อความสามัคคีธรรม จิตใจที่สูงกว่าจะดึงจิตใจที่ต่ำกว่าขึ้นไป ไอ้จิตใจที่ต่ำกว่ามันต้องพัฒนาของมัน มันต้องเปลี่ยนแปลงของมันสิ ถ้ามันไปเหนี่ยวรั้งๆ เห็นไหม มันเหนี่ยวรั้ง ถ้ามันทำตัวเอง แบบว่าเน่าใน นี่เสียหายจากภายใน สิ่งใดถ้ายังกลบเกลื่อนไว้ๆ เวรกรรมทั้งนั้น ถ้าสิ่งที่เวรกรรมๆ มันเกิดขึ้นๆ อย่างนี้ไง

ฉะนั้นเวลาทางโลก เขาที่ว่าเป็นโรคหยิบฉวยๆ เขาไปหยิบจับสิ่งใดขึ้นมาถ้าไม่มีใครไปจับเขาได้เขาก็รอดตัวไป มันก็เป็นการไปกระตุ้นโรคของเขาให้มันรุนแรงมากขึ้น แต่ถ้าเขาไปหาจิตแพทย์ จิตแพทย์แก้ไขของเขา เห็นไหม แก้ไขเขาเข้ามาให้เป็นปรกติ แก้ไขเข้ามาให้เคารพสิทธิ์ของคนอื่น ถ้ามันแก้ไขขึ้นมาเขาจะหายจากโรคนั้น ถ้าเขาหายจากโลกนั้น เขาจะเป็นคนที่ปรกติ เป็นคนที่ดีขึ้นๆ เห็นไหม นี่เป็นปรกติของโลก

แต่ของเราๆ มาบวชเป็นพระ เราบวชเป็นพระ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไม่มีกำมือในเรา แบหมดเลย แบหมดก็ยกให้หมดเลยๆ แต่ยกให้ด้วยการศึกษาไง เวลามาบวชเป็นพระ เราเป็นพระด้วยอะไร เราบวชเป็นพระด้วยสมมุติไง เรามาบวชเป็นพระ สมบูรณ์โดยความเป็นพระโดยธรรมวินัย นี่มีอุปัชฌาย์อาจารย์ยกเข้าหมู่มา ถ้ายกเข้าหมู่มาศีล ๒๒๗ เท่ากัน นี่ศึกษาแล้วแม้แต่ความเป็นมาของเรา เราก็เป็นมาด้วยธรรมวินัยนะ เราเป็นมาด้วยการอุปสมบท เราเป็นมา เห็นไหม เรามาบวชเป็นพระแล้วนี่ ศีล ๒๒๗ มันเป็นมาตรฐาน มันเป็นมาตรฐานของพระเลย แล้วถ้าพระเรามีมาตรฐานอย่างนั้น เห็นไหม มาตรฐานของพระ นี่เป็นสมมุติสงฆ์ๆ ไง

แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไปนี่ เราจะสร้างคุณงามความดีของเราๆ เห็นไหม ถ้าสร้างคุณงามความดีของเรา เป็นสงฆ์ที่สมบูรณ์ๆ แบบหลวงปู่ชอบ ท่านไปอยู่ที่ไหนเทวดา อินทร์ พรหม มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข เรามองเห็นไหม เรามองโดยสถานะเห็นไหม หลวงปู่ชอบท่านมีโรคประจำตัวของท่าน ท่านไปไหนท่านจะไปไหนท่านต้องมีคนอุปัฏฐาก ในทางโลก โลกเรามองต้องมีผู้อุปัฏฐาก

แต่ในหัวใจของท่านล่ะ ในหัวใจของท่านนี่แจ่มใส แจ่มแจ้ง สว่างไสวนี่มีสว่างไสวในใจของท่าน ท่านมีความสุขของท่าน ท่านจะนอนอยู่ที่ไหน มันจะเจ็บไข้ได้ป่วยยังไงท่านยิ้มตลอด เห็นไหม นี่แล้วเทวดา อินทร์ พรหม เขาได้ความร่มเย็นเป็นสุขจากคุณธรรมอย่างนั้น ถ้าจากคุณธรรมอย่างนั้น เห็นไหม มันเป็นความปรกติๆ ของท่าน แต่ของเราล่ะ ของเราเห็นไหม ทางโลกของเขานี่ เห็นไหมโรคหยิบฉวยๆ ก็ไปเที่ยวหยิบจับของคนอื่นมา

นี่ก็เหมือนกัน เราบวชเป็นพระๆ ขึ้นมา ความจริงของเรามีไหม นี่ความจริงของเรามันอยู่ที่ไหน แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่มีกำมือในเรา ให้หมดแล้ว ให้หมดแต่เราหยิบจับไม่ได้ ให้หมดแต่ไม่เป็นของเราเลยไง ศึกษามาๆ เป็นความจำ ความจำเป็นสมบัติของโลก นี่ความจำของเราสู้คอมพิวเตอร์ไม่ได้ คอมพิวเตอร์ทุกสำนักเลยมันคอมพิวเตอร์เขาคีย์เข้าไปออกมาหมดเลย จะเอาอะไรก็ได้ จะศึกษาข้อใดก็ได้ นี่ถ้าสงสัยกดเลย กดลงมามันก็ออกมาหมด ออกมาก็ตอบสนองถึงความสงสัย ความสงสัยที่ว่าจำผิดจำถูกเท่านั้นเอง แต่เนื้อหาสาระข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ศีล สมาธิเป็นอย่างไร สมาธิในหัวใจของเรานี่สิ่งที่เป็นความสงบระงับขึ้นมานะเป็นอย่างไร สมาธิก็เป็นตัวอักษรอย่างนั้นใช่ไหม นั้นมันชื่อ เราศึกษาๆ ปริยัตินี่เราศึกษาแต่ชื่อของธรรมวินัย แต่ความเป็นจริงมันไม่มี

ถ้าความเป็นจริงมันมีขึ้นมานี่ เห็นไหม เราตั้งใจของเรา เวลาการปฏิบัติแล้วนี่ ฉันอาหารแล้วทำภัตกิจเสร็จแล้วผู้ที่ได้สมาธิก็เข้าสู่โคนไม้ เข้าสู่เรือนว่างทำสมาธิของตน ผู้ที่มีปัญญาของตนค้นคว้ารื้อค้นเข้ามาในใจของเราขึ้นมา ทดสอบขึ้นมาสิ ทำขึ้นมาสิ ถ้าทำขึ้นมาสิแล้วมันจะเป็นความจริงของเราๆ อย่างนี้เป็นการหยิบฉวยไหม หยิบฉวยคือมันไปหยิบฉวยขึ้นมา เหมือนการเรียนปริยัติน่ะไปหยิบฉวย หยิบฉวยขึ้นมาเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าความจริงๆ มันไม่ได้หยิบฉวย มันทำขึ้นมา

การปฏิบัติๆ ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดในภาคปฏิบัติไง ความปรกติของใจๆ ใจเป็นปรกติไหม ใจของเราไม่ต้องให้คนมาบอกหรอก ใจของเรานี่ไม่ต้องให้คนอื่นบอกหรอก มันดิ้นรน มันขวนขวาย นี่ขวนขวายๆ เอาแต่ฟืนแต่ไฟไง ขวนขวายเอาแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากไง เวลาได้ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันควรจะได้ธรรมวินัยอย่างนั้นขึ้นมา มันกลับไม่ได้ มันกลับไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันไปหยิบฉวยไง หยิบฉวยมา มันไม่เป็นความจริงไง

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ เขาต้องกลับมาให้เป็นปรกติของใจๆ เราก็กลับมาทำความสงบของใจเรานี่ไง ถ้ากลับมาทำความสงบของใจ นี่ล่ะตัวตนของเรา นี่ล่ะสถานะนี่สัมมาสมาธิ ฐีติจิต ถ้าฐีติจิตมันขึ้นมาแล้วเราจะขวนขวายอะไร เราจะเริ่มต้นอะไร จะเริ่มต้นจากตรงนี้ ก่อนหน้านั้นเป็นความจำๆ นะ อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน คนเราเห็นไหม ดูสิ คนที่ปัญญาดี เห็นไหม ปัญญาดี ศึกษาสิ่งใดเขาก็มีปัญญาของเขา วิเคราะห์วิจัยของเขา คนที่ปัญญาทึบนี่ปัญญาปานกลาง พอศึกษามาเขาต้องปากกัดตีนถีบเพื่อจะทรงจำให้ได้ ทรงจำให้ได้ๆ

หลวงตาท่านพูดเอง เวลาท่านท่องหนังสือ ท่องจนสมองนี่ตื้อไปหมดเลย ทึบไปหมดเลย คิดอะไรไม่ออกเลย เวลาเป็นความจำ การศึกษาเป็นความจำนี่ ความจำเป็นความจำมา จำมาถ้ามีสติปัญญานะจำมานะเขาจำมานี่ ปริยัตินี่มันเป็นการศึกษาๆ ให้เกิดมีสติปัญญา เกิดสติปัญญาแล้วให้ทดสอบสิ ให้ขวนขวายการกระทำขึ้นมาให้มันเป็นความจริงขึ้นมาสิ ไอ้นั่นมันชื่อ แม้แต่ชื่อก็มาเถียงกัน ไปจำชื่อธรรมะมาแล้วก็มาเถียงกัน แล้วมาเถียงกันแล้วได้อะไรขึ้นมานี่ ไปหยิบฉวยมาแล้วยังไม่รู้ว่าหยิบฉวยนะ ต่างคนต่างทิฏฐิมานะว่าของฉันถูกๆ มันมีอะไรเป็นของฉัน ไม่มีอะไรเป็นของฉันสักอย่างหนึ่ง ไปทรงจำมาๆ หยิบฉวยมาทั้งนั้นนะ มันไม่เป็นความจริงสักอันหนึ่ง

แต่ถ้าเป็นความจริงมา ต่างคนต่างเงียบ ครูบาอาจารย์ของเรา เวลาท่านธมฺมสากจฺฉาเอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เห็นไหม ใครทำสมาธิได้ ได้มากได้น้อยแค่ไหน สมาธิของบางองค์ทำสมาธิแล้วรักษาสมาธิได้ดี บางองค์ได้สมาธิเป็นครั้งเป็นคราวแล้วกว่าจะได้สมาธิแต่ละครั้งแต่ละคราวนะ ต้องลงทุนลงแรงมากกว่าคนอื่น ต้องอดนอนผ่อนอาหาร ต้องต่อสู้เต็มที่เลย กว่าจิตมันจะสงบเป็นครั้งเป็นคราว แล้วถ้าจิตมันสงบแล้ว เห็นไหม ถ้ามันดื้อด้าน กิเลสมันดื้อด้าน กิเลสมันหนานะ มันพลิกมันแพลงนะมันเข้าได้ยากมาก พอมันเคยได้ขึ้นมาทีหนึ่งนะมันก็เอาสิ่งนั้นนะมาเร้าใจ เคยได้อย่างนั้นจะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนั้นมันได้มาจากอะไรล่ะ จะเอาอย่างนั้นมันได้มาจากเหตุ มันได้มาจากคำบริกรรม มันได้มาจากสติปัญญาอบรมสมาธิ มันได้จากเราตั้งสติแล้วเราขวนขวายของเรา

สิ่งที่ได้มามันได้มาแต่เหตุ แล้วเราไม่ได้ดูการกระทำเราเลยเหรอ เรามันน่าเศร้าใจนะๆ ถ้าเรากระทำด้วยความรุนแรง นี่เราต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้ มันถึงจะเอาจิตของเราได้อยู่นี่ อื้อฮือ ทำไมเราต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้ล่ะ ขิปปาภิญญาๆ ที่ผู้ที่ท่านปฏิบัติง่าย ท่านทำของท่านได้ เห็นไหม ทำไมเขาทำได้ล่ะ เขาทำได้เพราะเขาสร้างของเขามา เขาได้สร้างบุญกุศลของเขามา เขาทำของเขามา นั้นคืออำนาจวาสนาของเขา เราฟังไว้เป็นเครื่องประดับใจแต่เราไม่ทำแบบนั้น เพราะเราทำแบบนั้นเราจะเข้าสมาธิไม่ได้ เราทำอย่างนั้นน่ะมันผิวเผินเกินไป มันเบาบางเกินไป คำว่าผิวเผินๆ เพราะจิตใจเรามันหยาบ จิตใจของเขาเขาทำของเขาได้ ถ้าเขาได้ตามความเป็นจริงสัมมาทิฏฐินะ เขาไม่ได้ตามความเพ้อเจ้อนะ

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติด้วยความเพ้อเจ้อนี่มันเป็นสัญญาอารมณ์ทั้งนั้น สัญญาอารมณ์เอาสัญญาอารมณ์มาคุยกัน ทั้งๆ ที่การศึกษาของเรามา ที่ว่ามันเป็นภาคปริยัติๆ ไปหยิบฉวยมาแล้วนี่ มันก็เป็นภัยกับเราอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว เป็นภัยกับเราส่วนหนึ่งเพราะเราเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติของเราๆ สิ่งที่ว่าเป็นสมบัติของเรานี่ แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะบังคับใจของเราให้เข้าสู่สมบัตินั้น เพราะเราเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติ สิ่งนั้นเป็นความจริง แล้วใจของเรามันไม่เป็น เราบังคับให้จิตใจเราเข้าไปแบบนั้นน่ะ นี่ไง ที่ว่าเราศึกษามา สิ่งใดที่เรารู้แล้ว ที่มันจะเป็นตัณหาซ้อนตัณหา ที่มันจะเป็นโทษกับการปฏิบัติ มันเป็นโทษกับการปฏิบัติแบบนี้

ฉะนั้นเวลาเราฟังสิ่งใดมาเป็นคติธรรมแล้ว เราฟังไว้แล้ว เราฟังไว้เป็นคติธรรม นี่เป็นสมบัติของเขาๆ ถ้าเขาทำได้จริง แล้วถ้าเขาทำได้จริงมันจะมีครูบาอาจารย์เป็นผู้ที่ตรวจสอบ ถ้าเขาทำได้จริงครูบาอาจารย์จะต้องเป็นผู้ที่ตรวจสอบว่าทำได้จริงหรือไม่ได้จริง

แต่เขาบอกว่าเขาได้จริงๆ เห็นไหม โรคหยิบฉวยมันเป็นโรคทางโลกนะ แต่ถ้าเป็นธรรม เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาเรียกโรคกิเลส กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปิดหูปิดตา พอปิดหูปิดตาขึ้นมาแล้วทำสิ่งใดแล้วมันว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงๆ ความจริงวุฒิภาวะมันมีแค่นั้นไง แล้วทำเป็นความจริงๆ แล้วพยายามบอกว่า นี่พุทธพจน์ๆ ก็นี่ก็ศึกษามาๆ แล้วบอกว่าจะสร้างภาพสร้างใจให้เราเป็นแบบนั้น

แต่มันไม่เป็น มันไม่เป็นหรอก มันไม่เป็นตรงไหน มันไม่เป็นเพราะว่าปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกมันไม่มี ถ้าปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกมันมีนะ มันมีความสุขๆ มันเข้าใจ ถ้ามันมีความสุข เห็นไหม ดูสิ คนที่ประพฤติปฏิบัติมานี่ เด็กของเราลูกหลานของเราถ้ามันผิดพลาดของมันไปนี่ โดยความไม่รู้เท่ามันก็เถียงกันเต็มที่เลย แต่ถ้าวันไหนเขาเข้าใจเขาผิดนะ เขารู้ตัวว่าเขาผิด ความเถียงมันจะเบาลงจนกว่าในใจของเขาจะสำนึกได้เลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติของเรา หัวใจของเราถ้ามันเป็นจริงๆ มันรู้อยู่อะไรผิดอะไรถูก แต่ถ้ามันยังเทียบไม่ได้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก เห็นไหม เวลาทำเข้ามานี่ ว่างๆ ว่างๆ ว่างอะไร อะไรว่าง ตอไม้มันก็ว่าง วัตถุนี่มันไม่เคยทุกข์เคยยากกับใครเลย แล้วมันได้อะไรมา มันไม่มีชีวิตจิตใจไง

แต่จิตของเรานี่มีคุณค่า ธาตุรู้นะ ธาตุรู้นี้มีคุณค่ามาก ปฏิสนธิจิตๆ อวิชชามันครอบงำมันอยู่ เวลาครอบงำมันอยู่มันไม่รู้อะไรเลย เวลาพูดถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปอยู่ที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปอยู่ที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใจเราล่ะ ใจเราอยู่ไหน นี่ศึกษามาๆ มันเป็นความจำ ความจำมันส่งออกอย่างนี้ มันส่งออกไปจำ มันจำมาโดยขันธ์ ๕ ส่งออกไปจำ แล้วขันธ์ ๕ มันมาจากไหน ขันธ์ ๕ มาจากจิต แล้วจิตมันมาอยู่ไหน จิตมันไม่รู้จักตัวมันเองไง

แต่ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านฝึกหัดของท่านมา เห็นไหม นี่ฝึกหัดของท่านมา เสร็จท่านมีคุณธรรมในใจของท่านมา ท่านถึงวางข้อวัตรปฏิบัติ วางข้อวัตรปฏิบัติให้เรารักษาใจของเรา ถ้าเราภาวนาไม่เป็น ข้อวัตรปฏิบัติเขาเรียกเครื่องอยู่ คำว่าเครื่องอยู่ ดูสิ อาหารที่เราจะฉัน เห็นไหม ฉันในบาตร บาตรนั้นเป็นที่บรรจุอาหาร ถ้ามันไม่มีบาตร ถ้าไม่มีบริขาร ๘ เราจะเป็นพระไม่ได้ เราจะเป็นพระได้เราต้องมีบริขาร ๘ อาหารต้องอยู่ในบาตร

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่ามันเป็นธรรมๆ มันอยู่ไหน มันมีอะไรเป็นเครื่องอยู่นะ ถ้ามันไม่มีเครื่องอยู่ มีข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม บาตรเขาเอาไว้ใส่อาหาร เวลาธุดงค์เขาเอาไว้ใส่ผ้า บริขารไว้ใส่ในบาตรเวลาเดินธุดงค์ เวลาบิณฑบาตก็บิณฑบาตตกบาตรมา มันเป็นการภาชนะที่ไว้เดินทาง เอาไว้ใส่อาหารมา

นี่ก็เหมือนกัน ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เป็นเครื่องอยู่ของหัวใจๆ หัวใจที่มันเร่ร่อน หัวใจที่มันไม่มีหลักนี่ ข้อวัตรปฏิบัตินี่เป็นเครื่องอยู่ๆ จนรักษามันๆ คนที่เขามีสติมีปัญญาเขาเห็นประโยชน์กับมัน ครูบาอาจารย์ท่านเห็นประโยชน์กับมันนะ เวลาเราเคลื่อนไหว เวลาทำข้อวัตรนี่มีสติปัญญาไหม ถ้ามีสติปัญญามันจะไม่มีความผิดพลาด ทำสิ่งใดจะทำเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อย

แต่ถ้ามันทำสักแต่ว่าทำนี่ ทำทิ้งๆ ขว้างๆ ทำพอให้มันเสร็จ ทำไปโดยที่จิตมันหยาบ บางคนไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย ลักไก่เลย ไอ้ลักไก่ให้หมู่คณะทำ ตัวเองไม่ทำ พอไม่ทำก็ว่าทำแล้วๆ เขาทำแล้ว เขาทำไม่ใช่เราทำไง นี่พอว่าเขาทำแล้วๆ เสร็จแล้วนี่ด้วยความภูมิใจๆ ว่าเรานี่มีความสามารถ นี่หยิบฉวยมาแล้ว หยิบฉวยมามันเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไอ้นี่ไปหยิบฉวยมาแล้วยังมาทำลายตนเองอีก ทำลายตนทำลายให้มันว่างเปล่าไง ทำลายตนให้มันไม่มีหลักเกณฑ์ไง

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่าน เห็นไหม ท่านมีข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ เป็นเครื่องอยู่ขึ้นมานะ ท่านมีสติ สติสมบูรณ์ของท่าน ท่านทำสิ่งใดสติสมบูรณ์ของท่าน เวลาเข้าทางจงกรมนั่งสมาธิขึ้นมาจิตมันสงบระงับเข้ามา นั้นน่ะเป็นสมบัติของท่านๆ ไม่ได้หยิบฉวย เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เกิดที่จิต

คนเราเกิดมานี่ปฏิสนธิจิต เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มาเกิดเป็นมนุษย์จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็แล้วแต่ อยู่ในครรภ์นะ ๙ เดือนมันรู้ตัวตลอดล่ะ แต่รู้ตัวแบบทารก นี่เด็กในครรภ์ไม่รู้ตัวได้อย่างไร พ่อแม่กินของเผ็ดทำไมมันดิ้นรนอยู่ในครรภ์ มันไม่รู้ตัวได้อย่างไร มันรู้ตัวโดยสถานะนั้นนะ เกิดมาเป็นทารก เห็นไหม นี่ก็เหมือนกันไร้เดียงสานี่ มันไม่รู้ตัวเหรอไร้เดียงสา ไม่รู้ตัวมันเรียกร้องทำไม มันร้องไห้ทำไม แต่มันเรียกร้อง ร้องไห้ ในฐานะของความไร้เดียงสา มันยังช่วยตัวเองไม่ได้ไง

เวลาเราโตขึ้นมาเป็นวัยทำงาน นี่สมบูรณ์แล้ว เวลาวัยทำงานแล้วเราชราภาพไปล่ะ เห็นไหม ผู้ชราภาพ นี่รู้ทันทั้งนั้นล่ะ แต่ทำอะไรไม่ได้แต่รู้ ได้แต่มองตาปริบๆ ไง ถ้ามันเป็นความจริงๆ อย่างนี้ นี่ปฏิสนธิจิตๆ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่มันพัฒนาของมันขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงของมันขึ้นมา ถ้ามันไม่เป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ส่งออก หยิบฉวยมาแล้วยังมาทำลายโอกาสของตนนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ เห็นไหม ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธะศึกษามาให้ปฏิบัติ แล้วอย่างพระกรรมฐานนี่ อย่างครูบาอาจารย์ของเรา เวลาที่ท่านบวชแล้วนี่ท่านบวชเพื่อปฏิบัติเลย เวลาบวชปฏิบัติอยู่กับครูบาอาจารย์มา เห็นไหม ก่อนที่จะบวชต้องเป็นปะขาวมาก่อน ต้องเย็บผ้าเป็น ต้องท่องปาฏิโมกข์ได้ต่างๆ นี่ มันพร้อมมาแล้ว นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอกท่องปาฏิโมกข์ได้เปล่า นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอกเย็บผ้าได้เป็นหรือเปล่า นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก สิ่งที่ข้อวัตรปฏิบัติรู้ได้หมดหรือเปล่า

ไม่รู้เลย แต่ศึกษามาๆ ไม่มีรู้เลย แล้วจะบอกว่ากรรมฐานไม่มีการศึกษาๆ ไอ้ศึกษาๆ ด้วยการกระทำเลย ฝ่ายผลิตๆ ฝ่ายผลิตผลิตขึ้นมาเลย ฝ่ายบัญชีๆ การศึกษาเรื่องของเขา เราทำได้หมด แล้วทำได้หมดแล้วนี่แล้วฝ่ายผลิตผลิตขึ้นมาให้ได้ ปาฏิโมกข์ก็ท่องได้ เย็บผ้าก็เป็น ต้มน้ำ สุผ้า ย้อมผ้าได้ทั้งนั้น รังดมรังดุมถักได้หมดทำได้หมด นี่ไง ที่เขาศึกษามาก็ศึกษามาเพื่อเหตุนี้แหละ ไปดูตำราเรียนก็เรียนเรื่องนี้แหละ แล้วเรียนขึ้นมานี่ไอ้เราไม่มีวุฒิเลยแต่เราทำได้หมด นี่พูดถึงว่าครูบาอาจารย์ของเราข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม ข้อวัตรเป็นการฝึกฝนๆ ข้อวัตรปฏิบัติภาชนะฝึกหัวใจของเรา

การกระทำนี่มันไม่สูญเปล่า การกระทำนี่เป็นการดัดแปลงหัวใจ หัวใจที่มันหยาบ หัวใจของคนที่ไม่เห็นประโยชน์กับมันเลย ไม่เห็นประโยชน์กับมันไง แต่จริงๆ มันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์เพราะอะไร มันเป็นประโยชน์ เห็นไหม ดูสิ อย่างภาชนะอะไรต่างๆ ที่เขาต้องการของละเอียดเขาจะมีกระชอน เขาจะมีกรองขึ้นมาให้สิ่งนั้นละเอียดขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่หยาบๆ ก็คิดเข้าข้างตนทั้งนั้น หยิบฉวยเอา หยิบฉวยขึ้นมามันเป็นการทุจริตอยู่แล้ว แต่นี่ในสมัยปัจจุบันมีกฎหมายลิขสิทธิ์ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เผยแผ่ธรรมๆ ไม่หวังสิ่งใดทั้งสิ้น พยายามอยากให้เขารับรู้ด้วย แล้วเวลาศึกษามาแล้วนี่มันเป็นข้อเท็จจริงๆ โดยสัจจะ โดยความจริง ว่าความจำมันเป็นอย่างนี้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านศึกษามา ท่านตรัสรู้มาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นศาสดา เป็นครูเอกของโลก ท่านจะไม่เข้าใจเรื่องวิถีแห่งจิตได้อย่างไร ท่านเข้าใจวิถีแห่งจิต ท่านเข้าใจเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาท่านดำรงชีพอยู่ เห็นไหม มารดลใจๆ มาตลอด นี่นิพพานมันดีนักก็ตายไปสิ อยู่ทำไมๆ “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้อีกเลย ไม่ได้อีกเลย” แต่สอุปาทิเสสนิพพานเศษส่วนที่เหลือไง เศษส่วนธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี่เป็นเศษทิ้ง เศษทิ้งของหัวใจที่เป็นธรรม

ฉะนั้นสิ่งนี้มันเศษของกรรม พระโมคคัลลานะโดนโจรทุบตายก็เศษของกรรม คนเรามันมีเศษของกรรมไง เศษของกรรมคือว่าสิ่งที่ทำมามันยังมีเป้าหมายอยู่ มันยังมีสถานที่ต้องได้อยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปนิพพาน “อานนท์ เรากระหายน้ำเหลือเกิน ตักน้ำมาให้เราฉันหน่อยเถิด” นั่นนะนั่นก็เศษ เศษของเศษกรรม แต่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอด เพียงแต่ว่าในเมื่อมหาบุรุษจะเดินไปนิพพานเทศน์สอนไปตลอดทาง เวลามันเหนื่อยล้าขึ้นมามันก็แค่ต้องการน้ำเพื่อบรรเทาความกระหายเท่านั้นเอง

นี่ไง พูดถึงว่าถ้ามันมีเศษส่วนของกรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เรื่องอย่างนี้ไม่รู้แล้วจะเป็นศาสดาอย่างไร ฉะนั้นวางธรรมวินัยนะ วางภาคปริยัติ ไอ้ศึกษาๆ ท่านก็รู้อยู่แล้ว เห็นไหม วินัยธร ธรรมกถึก นี่ผู้ที่วินัยธรก็ทรงจำคำเทศน์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ที่ไหน วางธรรมวินัยที่ไหน ก็ทรงจำกันมา ท่องบ่นกันมานะๆ แล้วนี่ไง นี่การศึกษาๆ ก็ท่องจำกันมา

เวลาปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ปฏิบัติขึ้นมาแล้วบอกกรรมฐานไม่มีการศึกษาๆ ไม่มีการศึกษาทำไมมันทำได้ล่ะ ไม่มีการศึกษาทำไมถึงรู้เรื่องธรรมวินัยล่ะ ทำไมเคารพธรรมวินัยล่ะ การเคารพนั้นคือเคารพตนเอง การเคารพนั้นคือเคารพพุทธะ พุทธะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เราซื่อสัตย์ ผู้ใดถ้าซื่อสัตย์กับธรรมะ ผู้นั้นจะมีคุณธรรมในหัวใจ ผู้ใดที่คดโกง หยิบฉวย ตู่เอา มันก็ได้แต่กิเลสไง ได้แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไม่ได้ความจริงเลย ถ้าได้ความจริงนะ วางให้หมด การศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามา เวลาประพฤติปฏิบัติวางไว้

เพราะถ้าเอาการศึกษานั้นเป็นที่ตั้ง เวลาปฏิบัติไปมันจะสร้างภาพ การสร้างภาพนั้นจะทำให้เราปฏิบัติได้ยาก การสร้างภาพๆ กิเลสไม่ต้องไปยุไปแหย่มันก็ฟูอยู่ในใจอยู่แล้ว อันนี้ไปเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อการเผยแผ่ธรรม เพื่อให้เขาศึกษามา เพื่อประพฤติปฏิบัติ แต่เวลาเราปฏิบัติดันไปเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตอบโจทก์ ไปเป็นผล เป็นเป้า แล้ววิธีการล่ะ แล้วเวลาปฏิบัติล่ะ

แต่ถ้าเราปฏิบัติไป เห็นไหม เวลาปฏิบัติไปมันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน นี่จิตมันจะสงบระงับเข้ามาอย่างไรมันจะเกิดความสงสัย ทุกคนเวลามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะให้คะแนนตัวเองมากขึ้น เวลาให้คะแนนตัวเองมากขึ้น แล้วมันอยู่ที่วุฒิภาวะ วุฒิภาวะของคนอ่อนด้อย เวลามันเป็นอะไรยิบยับๆ โอ้โฮ มันให้ค่ากันจนไปเตลิดเปิดเปิง หลวงปู่มั่นจิตสงบขนาดไหน เอ้ มันใช่หรือไม่ใช่ เวลาจิตสงบแล้วเห็นพิจารณากายออกมาแล้วทำไมมันปรกติ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ๆ นี่คนที่มีอำนาจวาสนานะ สิ่งใดที่จะเกิดขึ้นเรารับรู้แล้วทดสอบ ทดสอบจริงหรือไม่จริง จริงหรือไม่จริง

พอมันไม่จริง เวลาท่านมาลาพระโพธิสัตว์ของท่าน เวลาท่านทำความสงบของใจเข้าไป ไปจับกายได้ การพิจารณาของท่าน โอ๊ย มันสำรอก มันคาย มันสำรอก เรานี่รู้ได้เอง รู้จักหัวใจทั้งหมด เวลาเราทำความสงบของใจ มันสงบลงคือมันขี้เกียจมันปล่อย มันดื้อมันด้าน มันไม่ทำแล้วมันก็วางเฉย โอ้โฮ ว่างๆ ว่างๆ อะไรนั่นน่ะ มันไม่มีอะไรขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอันเลย

แต่ถ้าคำบริกรรมของมันเข้ามานะ พอจิตมันละเอียดขึ้นมาไม่ใช่ว่างๆ อย่างนั้น มันมีพลังงานของมัน มันมีพลังงาน มีความรู้สึกของมัน มันมีความสุขของมัน มันมีความสุขของมัน เห็นไหม นี่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธินะ แล้วสมาธิมันเกิดขึ้น ศีล สมาธิ ปัญญานะ เวลาจิต แค่จิตเป็นสมาธินี่มันจะเชื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย คนที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมันไม่รู้จัก ท่องจำมาขนาดไหนนะมันอยู่ที่อารมณ์ วันไหนอารมณ์ตัวเองดีนะ โอ๊ยสุดยอด วันไหนอารมณ์ตัวเองกระทบกระเทือนมามาก ให้ท่องจำขนาดไหนก็เอาไม่อยู่ เป็นไปไม่ได้ เวลากิเลสมันมีกำลังขึ้นมาแล้วนี่มันกระพือหัวใจแล้วนี่เอาไม่อยู่

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ของเรา เห็นไหม มันเป็นความจริงของเรา เรามีสติ สติตัวยับยั้งมัน ในคำบริกรรม เห็นไหม คำบริกรรม บริกรรมให้มันละเอียดขึ้น พอเราจิตที่มันละเอียดแล้วละเอียดมันอยู่กับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มันไม่ไปเสพอารมณ์อย่างนั้นหรอก มันไม่ไปเสพสัญญาตัณหาความทะยานอยากอย่างนั้น มันปล่อยวางหมดๆ พอมันสงบลงแล้วกิเลสตามไม่ทัน กิเลสตามจิตดวงนี้ไม่ทัน จิตนี้สงบลงก่อน

พอจิตสงบลงไปแล้วเวลามันคายตัวออกมา คายตัวออกมาเรามีคำบริกรรมต่อเนื่องไปๆ อันนี้ไม่ใช่หยิบฉวย มันเกิดจากการกระทำ มันเกิดจากเราๆ เกิดจากจิตที่เราทำนี่ ถ้าจิตมันทำได้ มันถึงจะเป็นไปได้ มันถึงเป็นความจริง

จิตมันเป็นไปไม่ได้ จิตมันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม ดูสิ ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ด้วยวุฒิภาวะของคน ทางโลก เห็นไหม ไอ้โรคหยิบฉวยนี่มันไปหยิบของเขา แต่ไอ้โรคกิเลสนี่สิมันตู่ มันตู่แล้วไปยึดของเขามาเป็นของเราทั้งหมดไง ยึดของเขาๆ ของใคร ของเขาของที่จำมา สิ่งที่จำมา สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมานี้มันเป็นอำนาจวาสนาของเรานะ

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญขึ้นอีกหนหนึ่งกลางกึ่งพุทธกาลๆ มันมีครูบาอาจารย์ของเราท่านมาประพฤติปฏิบัติไง แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเทศนาว่าการมา พอเทศนาว่าการมามันได้ยินได้ฟังมานั่นน่ะ เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงตาท่านพูดเอง เราฟังเทศน์เจ้าฟ้าเจ้าคุณรู้เรื่องหมดเลย พอไปฟังเทศน์หลวงปู่มั่นครั้งแรกฟังไม่รู้เรื่อง แต่มันยังเดชะด้วยบุญกุศลไม่เคยติเตียนท่านเลย

ท่านศึกษาเป็นมหา ฟังเทศน์เจ้าฟ้าเจ้าคุณรู้เรื่องหมดเพราะ เพราะเขาอ่านหนังสือ เขาเอาอ่านหนังสือมาอ่านให้ฟัง เพราะตัวเองก็ศึกษามาก็ศึกษาหนังสือมาเหมือนกัน ทำไมจะไม่เข้าใจ เวลาไปเจอหลวงปู่มั่นท่านพูดถึงประสบการณ์ในใจของท่านงง แต่เดชะ ไม่เคยโทษท่าน โทษเราเองๆ แล้วฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเริ่มมีแนวทาง ตอนนี้ฟังเป็น

พอฟังเทศน์ๆ แค่ฟังเทศน์เป็นไม่เป็น นี่เห็นไหม ดูสิ เวลากรรมฐานเรานี่เวลาเทศน์เขาบอกเลยมันไม่เหมือนบาลีๆ ก็บาลีมันเป็นความจำ จำสิ่งนั้นมาแล้วมาขยายความ แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ก็บาลีก็ศึกษามาๆ ให้ปฏิบัตินี่ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธะ ถ้ามันเป็นความจริงๆ เห็นไหม ถ้าปฏิเวธะ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันจะเป็นความจริงในใจของเรา ที่เรามาปฏิบัติกันปฏิบัติกันก็เพื่อเหตุนี้ไง นี่ฟังธรรมๆ ก็ตรงนี้ไง

ศึกษานี่มีความจำเป็นไหม ศึกษาปริยัติ ถ้าไม่ศึกษาเลยนี่แนวทาง ในแนวทางเวลาธมฺมสากจฺฉา ถ้าคุยกันโดยธรรมวินัย เห็นไหม เขาคุยกันโดยบาลีนั้นแหละ คุยกันโดยพุทธพจน์นั้นแหละเป็นหลัก ไม่ให้ใครออกนอกลู่นอกทาง แต่เวลาปฏิบัตินี่มันต้องเปิดกว้าง คิดนอกกรอบไง คิดนอกกรอบ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ แต่ปฏิบัติให้มันเป็นจริงขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญาให้มันจริงขึ้นมา พอมันเป็นจริงขึ้นมา สาธุ ไม่มีใครมีปัญญาเลอเลิศเหนือกว่าครูบาอาจารย์หรอก ไม่มีใครที่มีสติปัญญาเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก ไม่มีทาง เพียงแต่มันรู้ดีไปก่อนไง มันไปหยิบไปฉวยมานะ ไปหยิบไปฉวยมาน่ะมันเป็นกิเลสทั้งนั้นนะ มันไม่เป็นความจริง ให้มันเป็นความจริงขึ้นมาเถอะ

เวลาหลวงปู่มั่น เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรมของท่าน เห็นไหม ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านรู้ได้อย่างไร ท่านรู้ได้อย่างไร กราบแล้วกราบเล่า กราบ นั่นนะมันกราบอะไรนะ หัวใจคนที่ประพฤติปฏิบัตินะ หัวใจคนที่เป็นพระ หัวใจคนที่เป็นชาวพุทธไม่เคารพศาสดาจะไปเคารพใคร แล้วการเคารพนั้นเคารพจากหัวใจด้วย ไม่ใช่เสแสร้ง การเคารพด้วยการเสแสร้ง อวดเขา แต่ครูบาอาจารย์ท่านเคารพจากหัวใจนะ การเคารพจากหัวใจนี้ เห็นไหม นี่เคารพธรรมวินัย ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา ถ้ามันเคารพแล้วนี่ประพฤติตนอยู่ในธรรมอยู่ในวินัย ประพฤติตนอยู่ในธรรมอยู่ในวินัย เอวัง